New Mitsubishi Mirage
รถไซส์เล็กกำลังดีเด่นปลอดภัย

LINE it!

     ถามส่วนตัวแล้วต้องบอกว่าชอบรถซีดานขนาดเล็ก เพราะใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในเมือง ดังนั้นอีโคคาร์ จึงเป็นรถที่สามารถตอบโจทย์ได้ตรงใจกับผู้ใช้งาน เช่นเดียวกับ New Mitsubishi  Mirage   ที่มาสไตล์แฮทแบคดีไซน์เฉี่ยวลงตัว  ภายในกว้างพอเหมาะ..แต่นั่งสบายไม่อึดอัด เด่นด้วยฟังชันท์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น ส่วนสมรรถนะเครื่องยนต์ขนาด 1200 ซีซี.สามารถให้อัตราเร่งใช้ได้ ขับไปไหนในเมืองคล่องตัวอย่าบอกใคร หรือบางครั้งขับเที่ยวต่างจังหวัดก็ไปได้หายห่วง 



รูปทรงไซส์เล็กนั่งสบายพอตัว 

     มิตซูบิชิ มิราจ ใหม่ ได้รับการปรับโฉมภายนอกด้วยการออกแบบด้านหน้าใหม่ ทั้งกระโปรงหน้า กระจังหน้า และกันชนหน้าติดไฟตัดหมอกหน้า   โดยในรุ่น GLS-LTD และ GLS ได้ติดตั้งไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ Bi-XENON HID กับไฟหรี่แบบสเปคตรัม LED  ส่วนล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้วแบบทูโทน ลายใหม่และกันชนหลังใหม่ที่ดีไซน์ส่วนเว้าพอตัว และน่ามองยิ่งขึ้นด้วยสปอยเลอร์ทรงใหม่กับไฟเบรคดวงที่ 3 แบบ LED เช่นเดียวกับไฟท้ายแบบ LED





   ในการตกแต่งภายในห้องโดยสารเน้นโทนสีดำแบบ Piano Black โดยเฉพาะบริเวณแผงคอนโซลหน้า ฐานเกียร์ และแผงประตู โดยในรุ่น GLS-LTD และ GLS  มาพร้อมเบาะผ้าสีดำลายใหม่เย็บด้ายสีเงิน เพิ่มความสปอร์ตยิ่งขึ้น  ขณะที่พวงมาลัยมาสไตล์ 3 ก้านหุ้มหนัง ออกแบบให้มีขนาดพอเหมาะเพื่อให้จับกระชับมือขึ้นพร้อมการตกแต่งด้วยโครเมี่ยมผสมผสานกับวัสดุสีดำแบบ Piano Black และมาตรวัดการขับขี่แบบ Semi-High Contrast (ยกเว้นรุ่น GL) ติดตั้งปุ่มควบคุมเครื่องเสียง ปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ และปุ่มสั่งงานด้วยเสียง



จัดไป...ปลอดภัยเกินรุ่น  

     ด้านระบบความปลอดภัยที่จัดว่าเป็นจุดขายของรถรุ่นนี้ เพราะเป็นครั้งแรกในอีโคคาร์ที่มีการติดตั้งระบบเสริมความปลอดภัยอัจฉริยะ โดยเฉพาะในรุ่น GLS-LTD และ GLS  กับระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว (ที่ความเร็วต่ำ) (FCM-LS : Forward Collision Mitigation System-Low Speed Range) ใช้คลื่นเลเซอร์เรดาร์ในการประเมินระยะห่างจากรถยนต์คันหน้าหากพบว่ามีความเสี่ยงที่จะชนรถยนต์คันหน้าในช่องทางเดียวกัน ระบบจะทำการเตือนและช่วยชะลอความเร็ว ที่ความเร็วโดยประมาณไม่เกิน 30 กม.ต่อชั่วโมง


 
       และระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะ เมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว (เฉพาะด้านหน้า) (RMS-FORWARD : Radar Sensing Misacceleration Mitigation System-Forward) โดยระบบจะตรวจจับวัตถุด้านหน้าหากมีการเหยียบคันเร่งผิดพลาดอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ระบบจะทำการเตือนและตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะอัตโนมัติเพื่อให้ผู้ขับขี่เบรกรถได้ทันซึ่งจะช่วยลดความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการชน


 
   นอกจากนี้มิตซูบิชิ มิราจ ใหม่ ทุกรุ่นยังติดตั้งระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว กับระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน ส่วนระบบเบรกมีให้ครบทั้ง ระบบABS กับระบบ EBD และระบบเสริมแรงเบรก BA  พร้อมกับถุงลมนิรภัยคู่หน้าและเข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับที่มีระบบผ่อนแรงอัตโนมัติ ELR 3 จุด 2 ตำแหน่ง ซึ่งในรุ่น GLS-LTD และ GLS เป็นแบบ 2 ทิศทาง (ด้านคนขับ)

ขับคล่องอัตราเร่งดีประหยัดใช้ได้ 
 
     สำหรับขุมพลังเครื่องยนต์ของมิตซูบิชิ  มิราจใหม่นั้นติดตั้งเครื่องยนต์เบนซินแบบ 3 สูบ ขนาด 1.2 ลิตร DOHC MIVEC แบบ 12 วาล์ว สามารถให้กำลังสูงสุด 78 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที กับแรงบิดสูงสุด  100 นิวตัน-เมตรที่ 4,000 รอบต่อนาที  พร้อมระบบส่งกำลังที่มีให้เลือก 2 แบบ คือ เกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ และ เกียร์อัตโนมัติ INVECS-III CVT  สามารถขับประหยัดน้ำมันสูงสุดถึง 23.8 กิโลเมตรต่อลิตร ควบคุมด้วยพวงมาลัยแบบไฟฟ้า และช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท กับด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม



    ในการทดสอบมิตซูบิชิ  มิราจใหม่ครั้งนี้ เป็นการยืมมาทดสอบเพื่อเน้นทั้งขับใช้งานในเมืองและเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัดใกล้ ๆ ในแบบไปเช้า-เย็นกลับ  ซึ่งช่วงแรกได้มาลองขับในกรุงเทพฯ รู้ ๆ กันอยู่ว่าจะต้องผจญกับสภาพการจราจรที่ติดขัดไปทุกย่านถนน แต่ด้วยตัวรถที่มีขนาดเล็กทำให้การขับในเมืองคล่องตัวเพราะเวลาจะขอเข้าแทรกรถคันอื่นสามารทำได้ง่ายกะระยะไม่ยาก พวงมาลัยเบามือหมุนคล่องและพอทางโล่งก็เร่งความเร็วได้อย่างน่าพอใจ ที่สำคัญเวลาหาที่จอดข้างทางที่อยู่ระหว่างรถคันอื่นสามารถถอยหลังหักเลี้ยวไม่กี่ทีก็จอดได้แล้ว หรือในห้างยิ่งจอดสบาย  

    และเมื่อถึงเวลาที่ต้องเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัด ซึ่งในครั้งนี้ได้เลือกที่จะไปที่จังหวัดระยอง ระยะทางไป-กลับประมาณ 400 กว่ากม. ทำให้ได้รับรู้ถึงสมรรถนะโดยรวมว่าให้อัตราเร่งใช้ได้ ช่วงล่างนุ่มนวลและทรงตัวดี    ไม่ว่าจะเป็นการขับใช้งานในเมืองที่ตอบโจทย์ได้โดนใจที่สุด แต่พอมาใช้ขับเที่ยวต่างจังหวัดก็ไปได้ไม่เห็นมีอะไรให้น่าห่วงถึงตัวรถจะไซส์เล็ก ที่หลายคนคิดว่าเวลาขับใกล้รถสิบล้อจะถูกดูดก็ลองขับแซงมาแล้วไม่เห็นมีอาการอะไรให้รู้สึก  



    ช่วงแรกของการขับให้ความสะดวกสบายตั้งแต่เปิดประตูเข้าไปในรถ  เพียงแค่มีรีโมทพกตัวตัวก็สามารถเปิดประตูได้เลย จากนั้นกดปุ่มสตาร์ทได้เลยเสียงเครื่องเงียบใช้ได้ และให้ความรู้สึกขับสบายตั้งแต่ออกตัวสามารถเร่งขึ้นได้เรื่อย ๆ ด้วยแรงบิดที่ให้มา 100 นิวตันเมตรก็เพียงพอที่จะลากน้ำหนัก 870 กก.ได้อย่างสบาย และใช้รอบในการเปลี่ยนเกียร์ราว 2,000 รอบ จังหวะในแต่ละเกียร์ให้ความนุ่มนวลตามแบบฉบับของ CVT รุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพดีกว่ารุ่นเก่า 

    เมื่อความเร็วค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นมาจนมาถึง 90 กม./ชม.ที่ 2,000 รอบ ซึ่งใช้เวลาไม่นาน ถ้าไม่เร่งรีบอะไรจะใช้ความเร็วระดับนี้ก็ไปได้  ที่สำคัญยิ่งประหยัดน้ำมันด้วย แต่พอดีวันนั้นถนนโล่งเลยรู้สึกว่ารถวิ่งช้าไปหน่อยกับการเดินทางไกลเลยต้องเพิ่มไปที่ 100 กม./ชม.ที่ 2,250 รอบ และพยายามควบคุมคันเร่งให้นิ่งให้ความเร็วอยู่ระดับนี้ไปตลอด ทั้งนี้เพราะอยากรู้ถึงความประหยัดว่าทำได้อย่างคุยไว้หรือเปล่า โดยเฉลี่ยประมาณ 20 กม./ลิตร  

    และระหว่างทางหลายครั้งที่เจอกับรถบรรทุก  จะมั่วขับตามมองดูควันดำอยู่ทำไม  แซงสิครับ...รอช้าอยู่ทำไม  แค่กดคันเร่งเพิ่มความเร็วก็พุ่งขึ้นมาให้สามารถแซงผ่านรถบรรทุกไปได้อย่างสบาย โดยใช้ความเร็วมากกว่าเดิมประมาณ 110 กม./ชม. ซึ่งหายห่วงไม่มีอาการถูกดูดแต่อย่างใดรถวิ่งผ่านฉลุย  หรือบางช่วงถ้าเจอกับทางขึ้นเนินก็สามารถไต่ความเร็วต่อเนื่องขึ้นไปได้ แต่พอถึงช่วงลงเนินก็จะยกคันเร่งปล่อยให้ไหลจนเกือบสุดทางลงเป็นอีกวิธีในการขับให้ประหยัด    


 
   แต่จะให้ขับยืนพื้นที่ความเร็วคงที่อยู่ประมาณ 100 กม./ชม. นาน ๆ คงไม่ไหว เพราะงานนี้ไม่ได้มาขับแข่งประหยัดเลยต้องเปลี่ยนพฤติกรรมมาใช้ความเร็วเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะความเร็วระดับ 80-120 กม./ชม.รถขนาดนี้สามารถทำได้สบายการตอบสนองของอัตราเร่งไม่อายใคร  หรือในช่วงความเร็ว 100 กม./ชม.เพียงแค่เติมคันเร่งอีกนิดก็วิ่งไปที่ 120 กม./ชม.แล้ว แต่ถ้าอยากจะขับเร็วกว่านี้ก็ทำได้ไม่ยากไปที่ 140 กม./ชม.  

     ขณะเดียวกันยังมี Ds Mode ให้ใช้งานเวลาที่ต้องการขับให้สนุกขึ้น เพราะจะช่วยให้สามารถลากรอบเครื่องได้สูงขึ้น ทำให้เรียกกำลังออกมาได้เต็มที่  ส่งผลให้อัตราเร่งมาเร็วขึ้นเวลาแซงทันใจ และยังช่วยให้เกิด Engine Brake เวลาเข้าโค้งหรือเวลาขึ้นลงเขา ช่วยลดภาระของเบรกได้ แต่ถ้าใช้เพลินเกินห้ามใจซดน้ำมันไม่รู้ด้วย เพราะรอบเครื่องจะสูงกว่าปกติในระดับความเร็วเท่ากัน นอกจากยังมีเติมเต็มด้วย L Mode ไว้สำหรับขึ้นลงทางชันโดยเฉพาะ หรือเวลาที่ต้องการกำลังจากเกียร์ต่ำ ก็มีให้ใช้งานได้ 

     ส่วนเรื่องการทรงตัวที่อาศัยช่วงล่างที่เซ็ทมาให้เหมาะกับรถขนาดเล็ก โดยด้านหน้าเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท กับด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม  ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นรถที่ให้การทรงตัวไม่แพ้รถไซส์ใหญ่กว่านี้    เอาเป็นว่าสอบผ่านแม้รถจะวิ่งในระดับความเร็ว 120 กม./ชม.แต่รถยังให้ความนิ่งใช้ได้ ไม่มีอาการหวิวให้รู้สึกแต่อย่างใด ซึ่งก็ผิดคาดไปหน่อยกับรถเล็กที่บางรุ่นพอวิ่งความเร็วระดับนี้เริ่มมีออกอาการบ้างแล้ว 



     และระหว่างทางต้องเจอถนนที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ทั้งถนนปะ กับถนนที่ค่อนข้างขุรขระ  แต่ดีที่ช่วงล่างเซ็ทมาลงตัว เลยซับแรงได้ดีทั้งช่วงที่โช้คยืดตัวและหดตัว จึงส่งผลทำให้นั่งสบายไม่สะเทือนเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นถนนเรียบจะรู้สึกนุ่มนวลใช้ได้   พร้อมกับพวงมาลัยไฟฟ้าที่ให้น้ำหนักแปรผันกำลังดีแม้จะวิ่งเร็วจะหนืดขึ้นมาทำให้เวลาหมุน              

     ส่วนระบบเบรกที่มาให้ครบทั้งระบบABS กับระบบ EBD และระบบเสริมแรงเบรก BA  แต่ใช่ว่าพอรถคันหน้าชะลอความเร็วลงก็ต้องเหยียบเบรกทุกครั้ง ทางที่ดีอาศัยผ่อนคันเร่งแทนจะช่วยถนอมผ้าเบรกไปในตัว แต่ต้องหยุดก็กดเบรก หรือถ้าจำเป็นต้องเบรกก็ค่อย ๆ กดเบรกแต่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยด้วย  และปิดท้ายด้วยระบบปรับอากาศแบบดิจิตอลเปิดแค่ 25 องศาแต่ให้ความเย็นสบายแม้จะเป็นช่วงกลางวัน  

     สนนราคาค่าตัวของมิตซูบิชิ มิราจ ในรุ่น  GLS -LTD เกียร์อัตโนมัติ ราคา 567,000 บาท  รุ่น GLS เกียร์อัตโนมัติ ราคา 539,000 บาท  รุ่น GLX เกียร์อัตโนมัติ ราคา 473,000 บาท  รุ่น  GLX เกียร์ธรรมดา ราคา 439,000 บาท และรุ่น GL เกียร์ธรรมดา ราคา 383,000 บาท

    ถึงจะเป็นอีโคคาร์ แต่มิตซูบิชิ  มิราจใหม่สามารถใช้งานได้ไม่ต่างจากรถคอมแพคซีดาน โดยเฉพาะขับใช้งานในเมืองต้องให้คะแนนเต็ม  เพราะขับคล่องตัวในทุกถนน หรือขับไปเที่ยวต่างจังหวัดเวลาใช้อัตราเร่งสามารถตอบสนองได้ดีสมตัว พร้อมกับเกียร์ที่ให้ความนุ่มนวลราบลื่น ที่สำคัญช่วงล่างเซ็ทมาให้ความนุ่มนวลและทรงตัวได้นิ่งเกาะถนนดี แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับรถเล็กแบบนี้    
     

ขอบคุณที่ให้ยืมรถทดสอบ :  ฝ่ายประชาสัมพันธ์บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด 

ข้อมูลทางเทคนิค 


แบบ                                             เบนซินแบบ 3  สูบ MIVEC - DOHC 12 วาล์ว 

ปริมาตรกระบอกสูบ                                                1193 ซี.ซี.

ความกว้างXช่วงชัก                                                75x90 มม.

อัตราส่วนกำลังอัด                                                  10.5:1

ระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง                                  แบบ ECI-MULTI 32 bit 
กำลังสูงสุด                                                 78 แรงม้า/6,000 รอบ/นาที 

แรงบิดสูงสุด                                              100 นิวตัน-เมตร/4,000 รอบ/นาที 

ระบบส่งกำลัง                                    เกียร์อัตโนมัติ INVEC-III CVT / เกียร์ธรรมดา 5 สปีด 

ระบบรองรับ              หน้า/หลัง             อิสระ แม็กเฟอร์สันสตรัท / ทอร์ชั่นบีม Coupled

ระบบเบรก               หน้า/หลัง                ดิสก์เบรก แบบมีช่องระบายความร้อน/ดรัมเบรก
  
ระบบบังคับเลี้ยว                            แร็คแอนด์พีเนียน พร้อมระบบพาวเวอร์ช่วยควบคุมด้วยไฟฟ้า

รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด                                                  4.4   เมตร 

ขนาดยาง                                                              165/55 R 14

ความจุถังน้ำมัน                                                          35   ลิตร
 

คำค้น : มิตซูบิชิ มิราจรุ่นใหม่ , รถมิตซูบิชิ มิราจใหม่ , มิตซูบิชิ มิราจปี 2016 , รถมิตซูบิชิ มิราจรุ่นใหม่ปี 2016 , รีวิวมิตซูบิชิ มิราจ,ทดสอบรีวิวมิตซูบิชิ มิราจ . ทดสอบขับรถมิตซูบิชิ มิราจ รุ่นใหม่ , รีวิวรถมิตซูบิชิ มิราจปี 2016 ,รีวิวทดสอบ มิตซูบิชิ มิราจ ,ลองขับมิตซูบิชิ มิราจ รุ่นใหม่ล่าสุด ,ทดสอบ New Mitsubishi Mirage , New Mitsubishi Mirage,รีวิวขับ New Mitsubishi Mirage , ทดสอบรถ Mitsubishi Mirage รุ่นใหม่ 2016 , รีวิวทดสอบ New Mitsubishi Mirage , ทดสอบลรถ Mitsubishi Mirage ปี 2016 ,ลองขับ New Mitsubishi Mirage